นวัตกรรมยานยนต์ คุณควรพิจารณารถยนต์ไฟฟ้าหรือยัง?

นวัตกรรมยานยนต์ รถนั้นเริ่มฉลาดขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่คุณยัง ไม่สามารถซื้อ นวัตกรรมรถยนต์ไฟฟ้า ระบบไร้คนขับสมบูรณ์แบบ ที่ร้านขายรถยนต์ได้ รถยนต์ที่คุณ สามารถเอื้อมมือถึง ก็ยังเต็มไปด้วยเทคโนโลยีใหม่ ๆ มากมาย ถึงแม้บางฟีเจอร์นั้น ก็เหมือนเป็นกิมมิค ปัญหาคือบางอย่างก็ แทบจะไม่มีใครใช้งานเลย

แต่อย่างไรก็ตามใน อุตสาหกรรม ยาน ยนต์ แห่งอนาคต นักพัฒนาระบบอัตโนมัติทั่วโลก นั้นกำลังแข่งขันที่จะเป็นบริษัทแรก ในโลกที่ได้วางรถ(ไร้คนขับ) บนล็อตของตัวแทนจำหน่าย ไม่มีบริษัทใด ใช้เส้นทางเทคโนโลยีเดียวกัน เพื่อบรรลุเป้าหมายเช่นกัน บางบริษัทใช้ประโยชน์ จากวิธีการตรวจจับ ระยะไกลเช่น Light Detection and Ranging (LiDAR)

ขณะที่บางบริษัทใช้ เซนเซอร์จากเรดาร์ เพื่อช่วยให้มองเห็น วัตถุที่ยากต่อการมองเห็น และตรวจจับบนทางถนน โดยปกติแล้วบริษัท ที่ทำงานเกี่ยวกับ นวัตกรรมยานยนต์ไร้คนขับ จะใช้การผสมผสาน ระหว่าง LiDAR เรดาร์ และ กล้อง

อย่างรถยนต์ Tesla ของมหาเศรษฐี Elon Musk ที่เชื่อว่าการสำเร็จ เทคโนโลยี Vision-based autonomy (การจดจำภาพตามระยะมองเห็น) ด้วยการใช้เพียงแค่กล้อง คือกุญแจของเทคโนโลยีอิสระ ที่เชื่อถือได้และ ราคาไม่แพง แต่มันมีเรื่องหนึ่งที่ เป็นประเด็นในวิธีการของ Tesla

การสำเร็จเทคโนโลยี Vision-based autonomy มีความยากลำบากมาก

มันต้องมีการปรับปรุง การใช้งานระบบอย่างต่อเนื่อง ที่สามารถปรับตัว กับสภาพถนนที่มี การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และจากนั้นมันต้องมี ความสามารถในการแชร์ข้อมูล ให้กับพาหนะอื่น ๆ บนท้องถนน เป็นเหมือนการเรียนรู้ ที่ต้องใช้ความสามารถ ในการประมวลผลสูง เกินกว่าที่รถหนึ่งคัน จะสามารถทำได้ อาจจะต้องใช้ Supercomputer 

Tesla Senior director ที่รับผิดชอบในเรื่อง AI คุณอันเดรจ คาร์แพธี เผยว่าเหล่า Automaker กำลังทำโปรเจ็คในเรื่องนี้ Computer Vision and Pattern Recognition อยู่เพื่อเป็นชิ้นส่วนสำคัญของ Vision-based autonomy

Supercomputer ที่ Tesla กำลังผลิตนั้น ยังไม่มีชื่อเรียก(หรืออาจจะมี) อย่างน้อยก็ยังไม่ได้ เปิดเผยสู่สาธารณะ ตัวคลัสเตอร์เองประกอบด้วย 720 โหนดที่ทำหน้าที่ เป็นคอมพิวเตอร์ในตัวมันเอง แต่ละโหนดจะมี Nvidia A100 80GB Graphics Processing Units (GPUs) 8 ตัวด้วยกัน ที่มีศักยภาพ ในการคำนวณจุดลอยตัวที่ มีความเข้มสูง ด้วยความแรงที่มากกว่า CPU ของ Destop PC มาตรฐานถึง 500 เท่า

ฉะนั้นคลัสเตอร์ทั้งหมดจะมี GPU เป็นจำนวน 5,760 ยูนิต ปริมาณฮาร์ดแวร์ที่จะบรรลุพลังการประมวลผล 1.8 exaflops เป็นจำนวนมาก คาร์แพธีเชื่อว่าด้วยโครงสร้างของ Tesla Supercomputer เป็นพลังการคำนวณ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และทรงพลังที่สุดอันดับห้าของโลก

Tesla ใช้ประโยชน์จากระบบ Autopilot ที่มีอยู่แล้ว

Tesla ในยุคหลัง ๆ ใช้ประโยชน์จาก Driver Assistance System ขั้นสูงที่เรียกว่า Autopilot ด้วยคุณสมบัติของระบบ ช่วยให้รถใช้กล้องที่หันหน้า ไปทางด้านนอกได้แปดตัว เพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ สภาพแวดล้อมของรถ และควบคุมด้านข้าง (พวงมาลัย) และตามยาว (การเร่งและเบรก) ได้ภายใต้การควบคุมดูแลของผู้ขับขี่ถึง

ถึงแม้อาจจะมี ความสับสนกับ ระบบ Self-driving ขั้นสูงที่ Waymo พัฒนาอยู่ ก็เป็นการลดช่องว่าง โดยการใช้ระบบอัตโนมัติบางส่วน ระหว่างการขับขี่แบบแมนนวล และระบบควบคุมอัตโนมัติเต็มรูปแบบ

ระบบ Autopilot รวบรวมข้อมูลจาก ยานพาหนะของ Tesla ทุกคันที่อยู่บนถนนมา พัฒนาระบบการตัดสินใจ ในขณะที่เทสลาขับไปตามถนน กล้องภายนอกของรถ จะรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ สภาพแวดล้อมภายนอกอยู่ตลอดเวลา คอมพิวเตอร์ภายในรถ จะศึกษาข้อมูลนี้และ คาดการณ์ว่าตัดสินใจอย่างไร ในสถานการณ์ตรงหน้าโดย ไม่ต้องส่งคำสั่งไป ควบคุมตัวรถจริงๆ

ข้อมูลที่มีการส่งผ่านกันและกัน บนโครงสร้างของ Machine Learning ที่เรียกว่า Neural Network การคาดการณ์จะถูกบันทึก และส่งกลับไปยังเทสลา เพื่อพิจารณาว่าการตัดสินใจ นั้นถูกต้องหรือมีข้อมูล ที่ผิดพลาดเกิดขึ้นหรือไม่

ถ้าเกิดมีการผิดพลาด ข้อมูลชุดนั้นจะถูก นำไปคำนวณผ่าน Supercomputer จนกว่าข้อมูลนั้นจะ ไม่มีความผิดพลาดอีก เป็นการฝึกฝนโมเดล Autopilot ที่พัฒนาอย่างต่อเนื่องของ Tesla อย่างมีประสิทธิภาพ

นวัตกรรมยานยนต์ สิ่งที่ระบบ Self-driving คำนวณก่อนที่จะทำการเปลี่ยนเลนบนถนน

1. การสัญญาณไฟ – สัญญาณะที่เป็นไฟ จุดผ่านสภาพแวดล้อมช่วยเหลือ ให้ระบบสมองของรถนั้น สามารถคาดคะเนว่าเกิดอะไรขึ้นได้ AI ระบบของรถสามารถรับรู้ได้ว่า รถที่จอดที่ไฟเขียว อาจจอดนิ่ง ในขณะที่รถที่ไม่แล่นผ่านไฟแดง จะไหลไปตามกระแส
2. ตรวจสอบสถานการณ์ภายนอก – บางครั้งที่เราเห็นรถยนต์ หรือรถบรรทุกที่จอดอยู่ ยื่นออกมาในเลนถนน โดยเฉพาะถนนชนบท ที่อาจไม่มีการควบคุม ภาพการจราจร ระบบ Self-driving ก็จะต้องทำการสแกน และทำการคาดคะเน ก่อนทำการตัดสินใจ ว่าจะเปลี่ยนเลนชั่วคราว เพื่อขับผ่านรถเหล่านั้นไป
3. ทำความรู้จักกับถนน – ระบบ Self-Driving สามารถนำความรู้ ในเรื่องแผนที่ในเมือง หรือสภาพแวดล้อมรอบตัว ของรถในระยะที่กำหนด(หนึ่งกิโลเมตร สองกิโลเมตร เป็นต้น) รวมถึงสแกนสภาพถนน เพื่อใช้เป็นข้อมูล สำหรับการควบคุมรถ ที่แม่นยำขึ้น ลื่นไหลขึ้น
4. การแชร์ถนนกับรถคันอื่น – ระบบ Self-Driving จำเป็นต้องสแกน สภาพแวดล้อมรอบคันรถ รวมถึงวัตถุที่อยู่รอบ ๆ คันรถด้วย ซึ่งรถก็เป็นหนึ่งในนั้น โดยนะต้องมี การสแกนและมอนิเตอร์ รถเหล่านั้นอยู่ตลอด เพื่อให้สามารถตัดสินใจ อย่างรวดเร็วได้ในกรณี ไม่คาดฝันเช่น มีการเบรกกะทันหัน ข้างหน้า หรือการเปลี่ยนเลน กะทันหันของรถคันอื่น
5. เส้นทางที่ถูกต้อง – หนึ่งในความเสี่ยงของระบบ Self-Driving คือการเลี้ยว ทั้งการคำนวณระยะ ของรถและข้างทาง สแกนสิ่งแวดล้อมรอบตัว รวมถึงรถในบริเวณ เพื่อทำการตัดสินใจเลี้ยว และความเร็วในการเลี้ยวรถ ที่เหมาะสม
6. แก้ปัญหาการมองเห็นของรถ – ถ้าเกิดมีรถคันใหญ่ มาบังวิสัยทัศน์ข้างหน้า ระบบ Self-Driving เองก็จำเป็น ต้องแก้ไขปัญหาเพื่อ ให้สามารถมองเห็น สิ่งที่เกิดขึ้นข้างหน้ารถ ปัญหาคือเมื่อรถคันใหญ่ อยู่ข้างหน้าและอาจจะ จอดไฟแดง หรือหยุดชั่วคราว ระบบอาจจะตรวจจับเป็น รถที่จอดเฉย ๆ เหมือนจอดข้างทาง และพยายามจะแซง ซึ่งปัจจุบันก็แก้ไขปัญหา และพัฒนาให้ดีขึ้น กว่าเดิมมากแล้ว

อนาคตของ รถยนต์ไฟฟ้า นั้นยังไงก็เป็นคำตอบของมนุษย์โลกในวันข้างหน้าแน่นอน

หากปัจจุบันคุณกำลังพิจารณา ถึงการซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้ หากเป็นต่างประเทศอย่างอเมริกา ก็คงบอกได้ว่าสามารถ ซื้อมาใช้ได้เลยหากสนใจ เพราะทั้งประเทศ มีการรองรับรถยนต์ไฟฟ้า ที่กว้างขวางขึ้นมาก แทบจะทั่วประเทศ

แต่หากเป็นประเทศที่ กำลังพัฒนาอาจจะต้อง พิจารณาให้ถี่ถ้วน อุปกรณ์ในบ้านที่ สามารถดูแลรักษารถ ชาร์จไฟรถได้อย่างปลอดภัย ไลฟ์สไตล์ที่มีข้อจำกัด ในการเดินทางจาก การปั๊มรถยนต์ไฟฟ้า ยังไม่ทั่วถึง แต่อย่างไรก็ตาม มันจะเป็นรถยนต์ ในอนาคตของเราแน่นอน จนว่าอุตสาหกรรมรถ ในปัจจุบันจะยอมละทิ้งกำไร ที่ตนเองทำได้จากการ ขายรถในระบบปกติ และเริ่มรักโลกอย่างจริงจัง

เรียบเรียง: แซมมีแบร์